วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

เมื่อต้องเลือกเพลงให้ทารกฟังในครรภ์

เมื่อต้องเลือกเพลงให้ทารกฟังในครรภ์


ผมเคยฟังคุณพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ พูดถึงลูกชายวัย 5 ขวบของตนอย่างภาคภูมิใจว่า “ลูกเป็นเด็กร่าเริง” ฉลาดเพราะทุกเช้าก่อนไปทำงานผมต้องเปิดเพลงเบาๆ ประเภทเพลงคลาสสิคให้คุณภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์ลูกชายคนนี้ได้ฟังทุกเช้า ลูกจึงเกิดมาเป็นเด็กอารมณ์ดี และร่าเริงมีสุขภาพจิตที่ดี ผมนั่งฟังอยู่ใกล้ๆ และเห็นด้วยกับความเป็นจริงข้อนี้ เพราะเรื่องที่เป็นเรื่องจริงตามธรรมชาติ
ครั้งหนึ่งเมื่อสิบห้าปีมาแล้วเคยมี บริษัทแห่งหนึ่งในต่างประเทศผลิต “Voice Box” ออกมาจำหน่ายด้วยคำโฆษณาว่า เสียงจะช่วยให้เด็กฉลาดเพราะเสียงเป็นพลังชนิดหนึ่งจะช่วยกระตุ้นการเจริญ เติบโตของสมอง ผมตื่นเต้นมากกับข่าวอันนี้และในฐานะที่เป็นสูติแพทย์ก็รู้สึกมีความยินดี เป็นอย่างยิ่งกับวิวัฒนาการแบบใหม่ เพื่อใช้ในการกระตุ้นทารก ถึงแม้จะอยู่ในครรภ์ของแม่ ข่าว “Voice Box” ดังกล่าวมาแล้วก็หายเงียบไป ไม่แพร่หลายอย่างที่คิดเสียงที่นำมากระตุ้นสมองของทารก ซึ่งบรรจุอยู่ใน “Voice Box” เครื่องนั้นไม่มีเสียงเพลงอะไรเลยนอกจากเสียงดังเหมือนเสียงกลองคนป่า แอฟริกามันคงไม่มีความไพเราะอะไรเลย แน่นอนทารกได้ยินและเป็นการกระตุ้นสมองอย่างแน่นอน แต่ทารกชอบเสียงดังเหมือนกลองนั้นหรือเปล่า มีความสุขกับเสียงที่ได้ยินนั้นหรือเปล่า
ผมเชื่อว่า “ไม่” นั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “Voice Box” ไม่แพร่หลายเป็นที่ต้องการของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ทั่วๆ ไป เสียงย่อมกระตุ้นครรภ์ได้แน่นอน แต่ว่าจะเป็นเสียงประเภทไหน…
คุณคิดว่าควรเป็นเสียงประเภทไหน… ใช่ครับควรเป็นเสียงเพลงที่ฟังแล้วไพเราะฟังแล้วเสนาะโสต ฟังแล้วมีความสุข ฟังแล้วเจริญหู เจริญใจ
มีครับ เพลงคลาสสิกบีโทเฟ่นนัมเบอร์ไฟว์เป็นเพลงยอดนิยมที่เกจิอาจารย์หลายท่านแนะ นำผมจึงต้องไปหาซื้อเพลงบีโทเฟ่น นัมเบอร์ไฟว์ที่ว่านี้มาฟัง ทำนองบรรเลงเพลงเป็นจังหวะจะโคน สูงๆ ต่ำๆ มีการกระแทกเป็นระยะๆ ฟังแล้วได้อารมณ์ คุณๆลองไปหามาฟังสิครับ
“เธ้ม เธ้ม เธ้ม เหธ่ม เธ้ม เธ้ม เธ้ม เหธ่ม” อะไรทำนองนี้แหละ หามาฟังกันเองเองก็แล้วกันนะครับ
พูดถึงเรื่องเพลงนี้มันมีอิทธิพลต่ออารมณ์เป็นอย่างมาก แม้ทารกจะอยู่ในท้องก็ตาม
อารมณ์ของเพลงนั้นจะมีผลต่ออารมณ์ของ แม่โดยตรง เมื่อแม่ฟังเพลงที่ชอบฟังแล้วมีความสุข ความสุขนั้นแม่ก็จะส่งไปยังทารกที่นอนอยู่ในครรภ์ ขณะเดียวกันทารกที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปแล้ว ทารกจะได้ยินเสียงเพลงนั้นผ่านท้องของแม่ได้ด้วยตัวเอง ถ้าหากเป็นเพลงที่ดี ฟังแล้วทำให้เกิดความสุขนั่นหมายความว่าถูกโฉลกกับความต้องการของทารก ผลในทางบวกก็ย่อมจะเกิดขึ้นตามมา
มีคนเคยทดลองอิทธิพลของเสียงเพลงต่อ สรรพสิ่งมีชีวิต อย่าว่าแต่มนุษย์เลยครับ เขาเคยทำการทดลองเปิดให้กับพืชด้วยซ้ำไป เพลงที่มีความหมายไพเราะ ฟังแล้วให้ความบันเทิง เมื่อพืชดอกได้ฟังอยู่เสมอ ปรากฏว่าออกดอกสวยงาม แต่ในทางตรงกันข้าม เปิดเพลงที่ไม่เป็นภาษาเพลง ฟังแล้วมีแต่ความหนวกหู ฟังแล้วสร้างความรำคาญอย่าว่าแต่ทารกในครรภ์เลยครับ แม้แต่พืชได้ฟังก็เหี่ยวเฉาครับ
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเสียงเพลงนั้นจะมีอิทธิพลต่อผู้ฟังเป็นอย่างมาก รวมถึงทารกในครรภ์ด้วย
ผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูก เกิดออกมาแล้วมีความฉลาดและฉลาดไปพร้อมๆ กัน ทั้งฉลาดทางความคิดคือ IQ และฉลาดทางอารมณ์คือ EQ ไม่ต้องการให้เด็กฉลาด สมองดี แต่เป็นเด็กเก็บกด ไม่มีความสุขในชีวิต หากจะเลือกเพลงมาฟังขณะที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ผมแนะนำว่าควรจะเลือกหาเพลงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลงอมตะ ได้ฟังเมื่อไหร่ก็มีความไพเราะเมื่อนั้น เป็นเพลงที่อมตะไม่ใช่เพลงที่มีความไพเราะเพียงชั่วครั้ง ชั่วคราว ก็น่าจะใช้ได้ ลองดูนะครับ
ผมอยากเตือนคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายที่ เห่อลูกมากๆอยากให้ลูกเกิดมาแล้วเป็นเด็กอัจฉริยะ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกฉลาดด้วยการกระตุ้นด้วยวิธีการต่างๆ นานา ขณะที่อยู่ในครรภ์ของแม่ก็ปรากฏว่าสมองมีการพัฒนาเกินวัยสร้างความสับสนใน ตัวเด็กซึ่งสุดท้ายจะเป็นสาเหตุของโรคหนึ่งที่คุณๆ รู้จักกันดี คือโรคออทิสติกไงล่ะครับซึ่งทางการแพทย์สรุปถึงสาเหตุออกมาว่าน่าจะเกิดขึ้น เพราะสมองของเด็กมีการเจริญเติบโตพัฒนาขึ้นมาอย่างไม่เป็นระบบสร้างความ สับสนในตัวเด็ก เปรียบเสมือนสนามบินที่ใหญ่โตมโหฬารเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยที่คนใช้ ยังไม่ค่อยจะเป็น จึงเกิดความสับสนขึ้นมาเครื่องบินจะขึ้นจะลงก็ลำบากและอันตราย สู้อยู่เฉยๆ จะสนุกกว่าก็เหมือนเด็กออทิสติกนั่นแหละ
 

ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ No.160 November 2006

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น